วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

การตกแต่งไม้ดัดไม้แคระ

การดัดโค้งงอ
เป็นการจัดกิ่งพุ่มใบให้ระยะห่างได้จังหวะช่องไฟที่เหมาะสม การดัดลักษณะนี้จะใช้ลวดพันลำต้นและกิ่งที่ต้องการ การพันลวดควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ 1. ขนาดของลวด เลือกให้มีขนาดเหมาะสมกับลำต้นหรือกิ่งที่จะพันเพราะถ้าใช้ลวดเล็กเกินไป จะบังคับให้กิ่งโค้งตามต้องการไม่ได้ หรือถ้าลวดมีขนาดใหญ่ก็จะแข็งทำให้พันลำบาก 2. การพัน พันวนไปตามต้นกิ่งในลักษณะ 45 องศา ทั้งระยะห่างพอประมาณอย่าให้หลวมหรือแน่นจนเกินไป 3. การดูแลหลังพันลวด หลังจากพันลวดเสร็จแล้วสามารถดัดได้ตามต้องการ การดัดควรทำอย่างเบามือ อย่าพยายามดัดหรือหักลำต้นจนเกินไปเพราะอาจทำให้กิ่งและลำต้นเสียหายได้ เมื่อดัดเรียบร้อยแล้ว ต้องปล่อยให้ต้นไม้อยู่ตัวสักระยะหนึ่ง ประมาณ 3-4 เดือน จึงเอาลวดออกเพื่อป้องกันการสปริงตัวกลับของกิ่ง ถ้าเห็นว่ากิ่งมีรอยถูกลวดมัด ให้รีบแก้ออกแล้วพันใหม่ทันที การดัดกิ่งให้โค้งงออีกรูปแบบหนึ่ง คือการใช้น้ำหนักถ่วงให้กิ่งโค้ง ห้อยงอลงเพราะแรงดึงหรือแรงถ่วง โดยใช้ก้อนหินหรือของหนัก ๆ ผูกเชือกห้อยไว้กับกิ่งที่ต้องการดัด จนเห็นว่ากิ่งอยู่ตัวดีจึงนำออก

การปิดกระหม่อมทำหุ่นไม้ดัด
ลักษณะของไม้หุ่นที่มีรูปทรงเป็นลักษณะไม้หุ่นเดียว (ไม้วิชา) เมื่อนำมาปลูกและฟื้นตัวได้ดี มีกิ่งกระโดงแตกใหม่แล้วจะต้องทำการปิดกระหม่อม ลักษณะไม้ท่อนเดียวเมื่อเจริญเติบโตดีแล้วให้เลื่อยต้นตอ สูงจากพื้นดินพอเหมาะตามต้องการ ต่อมาจะเกิดกิ่งกระโดงแตกออกมาใต้บริเวณรอยตัด ถ้ากิ่งกระโดงแตกต่ำจากรอยตัดมากเกินไป ก็ให้ตัดหัวตอลดต่ำลง เมื่อกระโดงยาวได้ประมาณ 30 เซนติเมตร ก็ให้เริ่มทำการปิดกระหม่อมทำหุ่น โดยการค่อย ๆ กับหลักให้แน่น ปล่อยให้กิ่งกระโดงยาวออกไปเรื่อย ๆ แต่ต้องคอยริดยอดหรือให้กิ่งกระโดงโตเร็วขึ้น รอจนกว่ากิ่งกระโดงจะโตเชื่อมปิดกระหม่อมได้เรียบร้อยดีแล้ว ก็ให้ตัดกิ่งกระโดงออกเหลือไว้เท่าที่ต้องการเท่านั้น เพื่อใช้กิ่งกระโดงนี้เป็นหุ่นเลี้ยงกิ่งแยกต่อไป แต่ละหุ่นจะปล่อยให้แตกกิ่งแยกเท่าไรนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะทำไม้ตัดชนิดใดจากรูปแบบทั้ง 9 ชนิด ที่กล่าวไว้แล้วในตอนที่ 2
เทคนิคการตัดแต่งกิ่ง
การเตรียมต้นตอ เพื่อการปลูกเลี้ยงเป็นไม้ดัดไม่ว่าต้นตอที่ได้มานั้นจะมีรูปแบบเป็นไม้บรรจบป่าหรือไม้บรรจบหุ่น รูปทรงมักจะไม่งามตามความต้องการ คงต้องเลี้ยงและบังคับ ให้มีกิ่งก้านพุ่มใบตามรูปร่างรูปทรงที่ตัดเอาไว้ การดัดกิ่งก้านหรือบังคับให้แตกกิ่งก้านตรงจุดที่ต้องการ เป็นเรื่องที่ต้องทำเสมอ เทคนิคเหล่านี้จำเป็นต้องศึกษา ติดตามสังเกตจากผู้มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม แบบเรียนคงบอกผู้ปลูกเลี้ยงไม่ได้ว่าจะต้องดัดตรงไหนให้แตกกิ่งใหม่กี่กิ่ง คงเสนอแนะเทคนิคการดัดและเสริมกิ่ง เท่าที่ผู้ปลูกเลี้ยงนิยมทำกันเท่านั้น

การดัดฉาก
กรณีที่ต้องการกิ่งหักมุม หรือหักข้อศอก ให้ใช้มีดปาดส่วนของกิ่งด้านที่ต้องการหักมุมออก แล้วหักพับตามต้องการโดยใช้ลวดบังคับหรือใช้เชือกผูกยึดจากนั้นใช้พลาสติกพันทับรอยปาดที่หักพับของกิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าได้ จะทำให้รอยแผลสร้างเปลือกออกหุ้มโดยเร็วขึ้น

การบังคับให้แตกกิ่ง
บางครั้งจำเป็นต้องบังคับให้แตกกิ่งใหม่ตรงตามจุดที่ต้องการซึ่งอาจเป็นได้ทั้งกิ่งที่มีตาและตรงที่ไม่มีตาการบังคับให้แตกกิ่งตรงที่มีตาอยู่แล้ว ทำได้โดยการใช้พลาสติกพันลำต้นและกิ่งให้มิด เว้นไว้ตรงตาที่ต้องการให้แตกกิ่ง เมื่อตาที่เว้นไว้แตกกิ่งจะต้องรอให้กิ่งโตพอสมควร จึงเอาพลาสติกที่พันออกการบังคับให้แตกกิ่งตรงที่ไม่มีตา วิธีการทำได้โดยใช้สว่านเจาะทะลุ แล้วนำกิ่งยอดจากต้นอื่น มาตัดกิ่งแขนงเล็ก ๆ และรูดใบออกให้หมด นำกิ่งดังกล่าวสอดให้ทะลุรูเจาะนั้น แล้วผูกยึดกิ่งสอดนั้นให้แน่น รอให้กิ่งที่สอดนั้นโตขึ้นเนื้อเยื่อและท่อน้ำนำอาหารก็จะเชื่อมประสานติดกันแน่น จากนั้นจึงค่อยตัดโคนกิ่งที่สอดให้ชิดกับกิ่งหุ่น ซึ่งเมื่อนาน ๆ ไปก็จะดูเป็นกิ่งจากต้นหุ่นเดียวกัน

การทำช่อหรือพุ่มใบ
เมื่อมีการจัดหรือบังคับให้แตกกิ่งตรงตามจุดต้องการ สิ่งที่ต้องดูแลต่อไปก็คือช่อหรือพุ่มใบ ไม้ดัดนอกจากรูปทรงต้นกิ่งก้านแล้ว ช่อหรือพุ่มใบเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่จะทำให้ไม้ต้นนั้นดูงดงาม ดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็น การทำช่อหรือพุ่มใบทำได้โดยการตัดยอดของกิ่งนั้นออก ให้กิ่งนั้นแตกยอดและใบออกมา รอจนยอดนั้นมีใบเพสลาด (กิ่งอ่อนกิ่งแก่) จากนั้นก็ตัดยอดที่แตกออกมาใหม่นี้อีกครั้งในลักษณะเช่นนี้ติดต่อกันไป จนกระทั่งส่วนนั้นแตกยอดและใบมากขึ้นดูสวยงาม ก็ตัดแต่งให้ได้รูปทรงของช่อใบตามต้องการ การทำช่อหรือพุ่มใบ กิ่งหนึ่งจะแยกออกเป็นกี่ช่อที่พุ่มใบก็ได้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบตามตำราและรูปทรงของไม้หุ่น แต่สิ่งที่ควรคำนึงคือ การจัดช่อใบให้ได้ระยะที่พอเหมาะกับสัดส่วนและสัมพันธ์กัน เช่น การที่จะทำให้มี 9 ช่อ ก็จัดวาง 2 ชั้นชั้นละ 4 ช่อ และวางไว้ที่ยอดอีก 1 ช่อ รวมเป็น 9 ช่อพอดี

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของไม้ดัดไม้แคระ

ประโยชของไม้ดัดคือสมารถใช้ตกแต่งบ้านไห้ดูสวยงามน่ามองและสมารถเลี้ยงจนโตสวยงามสามารเอาไปขายได้ราคาดี
ไม้ดัดจึงเป็นไม้เศษกิจที่ทำราคาดีไห้กับผู้เลี้องอย่างมาก

ความหมายของไม้ดัดไม้แคระ

มรดกทางศิลปที่เก่าแก่อย่างหนึ่งของไทย ที่ปัจจุบันหาดูได้ค่อนข้างยาก และหาผู้สืบทอดได้ยากอีกด้วยก็คือ การเลี้ยงไม้ดัดแบบไทย ซึ่งเป็นงานอดิเรกของคนไทยมาตั้งแต่สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ดังที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งผู้เขียนได้เคยยกมากล่าวไว้ในบทที่ 1 แล้ว ประมาณกันว่า"ขุนแผน" ตัวเอกในเรื่องนี้ มีตัวตนจริงๆ อยู่ในสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ระหว่างปีพุทธศักราช 2034 ถึง 2072 หรือจุลศักราช 840 ถึง 891 ซึ่งก็หมายความว่าคนไทยเล่นไม้ดัดเป็นงานอดิเรกกันมานานกว่า 500 ปีแล้ว
แต่ว่า ก่อนที่จะคุยกันเรื่องไม้ดัดแบบไทยกันต่อไป ขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ไม้ดัดแบบไทยนั้น มีความแตกต่างไปจากไม้แคระตามศิลป"บุ่งไช่"ของจีน และ"บอนไซ"ของญี่ปุ่น อย่างที่เรียกว่าไปกันคนละเรื่อง ประการสำคัญก็คือ ไม้ดัดไทยไม่ใช่ไม้แคระ เพราะฉนั้นการเล่นไม้ดัดกับการเล่นบอนไซนั้นจะไม่เหมือนกัน ข้อแรก ไม้แคระหรือบอนไซนั้น เท่าที่เคยเห็นมา ความสูงอย่างมากที่สุดก็อยู่ประมาณไม่เกินเมตรครึ่ง หรือประมาณ 150 เซ็นติเมตร แล้วเล็กลงไปจนถึงขั้นบอนไซจิ๋ว ซึ่งสูงไม่ถึง 10 เซ็นติเมตร แต่ไม้ดัดของไทยนั้น ขนาดเล็กที่สุดก็ปาเข้าไปร่วมเมตรแล้ว สำหรับที่สูงจริงๆ นั้น ถ้าจะลองไปดูแถวๆ ในพระบรมมหาราชวัง แถวพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ก็ไม่หนี 3-4 เมตรข้อที่สอง รูปแบบของการดัดกิ่งและการตกแต่งกิ่งก้านแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง รูปแบบของบอนไซนั้น เป็นการคงเอาลักษณะและรูปทรงเดิมๆ ของต้นไม้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ มาย่อส่วนให้เล็กลงเป็นไม้แคระ แต่รูปแบบของกระบวนไม้ดัดไทยนั้น ไม่คงลักษณะเดิมตามธรรมชาติของต้นไม้ไว้เลย รูปร่างหน้าตาของไม้ดัดไทยแต่ละแบบนับได้ว่ามีความพิลึกพิสดารอย่างยิ่ง ต้องใช้เวลานับเป็นสิบปีกว่าจะ"จบ"ได้ บางทีจนเจ้าของไม้ตายไปแล้วไม้ยังจบไม่ลงก็มี นับเป็นงานอดิเรกที่ต้องใช้ความอุตสาหะ วิริยะ มานะ อดทน ใจเย็น โดยครบถ้วนกระบวนความ ดังนั้นไม้ดัดไทยจึงทรงคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองและมีค่าเสมือนวัตถุโบราณอย่างหนึ่งทีเดียว

ชนิดของไม้ดัด

แม่แบบของไม้ดัดไทยประเภทต่าง ๆ
ลักษณะของแม่แบบ หรือต้นแบบของไม้ดัดไทย อาศัยรูปลักษณะโครงสร้างตามธรรมชาติของต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ทั่วไป เป็นแนวคิดในการแบ่งแยกประเภทซึ่งแบ่งได้ดังนี้ ประเภทแรก เป็นไม้ที่ดัดให้เป็นไปตามโคลงศิลปะของไทย ซึ่งดูแล้วจะไม่เหมือนกับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ตามโคลงตำราว่าด้วยเรื่องไม้ดัดของหลวงมงคลรัตน์ (ช่วง ไกรฤกษ์) ได้กล่าวไว้ในโคลงว่ามี 7 ชนิดด้วยกัน คือ 1. ไม้ขบวน 2. ไม้ฉาก 3. ไม้หกเหียน 4. ไม้เขน 5. ไม้ป่าข้อม 6. ไม้กำมะลอ 7. ไม้ตลก ประเภทที่สอง เป็นไม้ที่ดัดให้ดูเหมือนกับไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมี 2 ชนิด คือ 1. ไม้ญี่ปุ่น 2. ไม้เอนชาย ไม้ดัดแต่ละชนิด มีลักษณะดังรายละเอียดต่อไปนี้ ไม้ขบวนวาดเลี้ยว วงเวียน ต้นนา ตอต่ำตัดเรือนเจียน เรียบร้อย ที่กิ่งชอบใช้เนียน สนิทช่อง ไฟแฮ ทรงฟุ่มชิดเชิดช้อย ช่องชั้นจังหวะว่าง ไม้ขบวน หรือไม้กระบวน ลักษณะของทรงต้นจะตรง หรือคดเล็กน้อยก็ได้ ต้นต่ำดัดกิ่งให้วกวนเวียนขึ้นไปวนสุดยอด การจะดัดแต่งกิ่งจะไม่กำหนดรูปทรงแน่นอนผู้ดัดจะดัดพลิกแพลงอย่างใดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญจะต้องจัดช่อพุ่มใบให้จังหวะช่องไฟดูพอเหมาะพอดีและแต่งให้เรียบร้อย โดยทั่วไปนิยมทำเป็น 9 ช่อ ไม้ขบวนสามารถดัดแต่งช่อพุ่มได้ง่ายกว่าไม้ดัดชนิดอื่น ๆ จึงได้รับความนิยมอย่างมาก ฉากแบบโคนทอดน้อย หนึ่งงาม ที่คดคบขดตาม หักค้อม ตอย่อกิ่งต่อสาม สมแบบ เดิมนอ ต้นชดเค้ากิ่งหย้อม อย่าช้าเสียคม ไม้ฉาก ลักษณะทรงต้นจะตรงขึ้นมาดัดหักเป็นรูปมุมฉาก กิ่งก็ดัดแต่งให้เป็นรูปมุมฉากเช่นเดียวกับลำต้น ส่วนปลายกิ่งก็ปล่อยให้เป็นพุ่มใบ นิยมทำพุ่มใบ 9 ช่อ ไม้ดัดฉากนี้จะทำเป็นต้นเดี่ยวหรือต้นคู่ ในลักษณะรูปทรงแบนและฉากบังตาก็ได้ ไม้ฉากเป็นไม้ดัดที่ดัดมากที่สุด ผู้ที่จะดัดจะต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือ และมีความวิริยะ ความอดทนสูงมากจึงจะทำได้ หกเหียนเห็ดดัดคู่ ดัดทับ ตอเผล้เร่เรือนรับ ลอดพลิ้ว ที่ยอดทอดทวนทับ ทบกิ่ง กลแฮ ดูดุจหมัดมวยงิ้ว ผงาดง้ำผงกหงาย ไม้หกเหียน ลักษณะทรงต้นมีการดัดต่างกิ่งให้ย้อนกลับลงมาทางโคนต้นก่อน แล้วจึงดัดทำกิ่งให้โค้งงอขึ้นไปรอบ ๆ ต้น การดัดแต่งกิ่งช่อพุ่มของไม้หกเหียนนี้ ตามตำรากำหนดให้ทำกิ่งและช่อพุ่มจำนวน 11 ช่อ ไม้ดัดชนิดนี้จึงอยู่ในประเภทที่ดัดยาก ไม้เขนเบนกิ่งท้าย ทวนลง โคนปุ่มภูต้นตรง เกร่อเก้อ ที่ยอดทอดหวนหง เห็ดขด คู่แฮ ดุจมถคเหลียวชะเง้อ ชะโงกเงื้อมมาหลัง ไม้เขน ต่างจากไม้ดัดชนิดอื่นตรงที่จะให้ความสำคัญที่ทรงต้น โดยต้นจะต้องมีปุ่มที่โคนและกิ่งต่ำสุดต้องดัดลง ให้อยู่ตรงข้ามกับกิ่งที่ 2 และกิ่งยอดโดยเฉพาะกิ่งยอดต้องหักเอี้ยวลงมาข้างหลังก่อนแล้วจึงดัดวกกลับขึ้น สำหรับกิ่งที่ 2 ดัดให้ได้จังหวะ รับกับกิ่งยอด ไม้เขนนี้นิยมทำกิ่งและช่อพุ่มใบ 3 ช่อ จึงจะดูสวยงาม ป่าข้อมโคนปุ่มต้น ตามตรง คบแยกสามกิ่งจง จัดเก้า จังหวะระยะวง เวียนรอบ กลมแฮ จัดช่องไฟให้เท่า ส่วนต้นดัดเรือน ไม้ป่าข้อม ลักษณะทรงต้นตรงขึ้นไปถึงยอด ตรงโคนมีปุ่มรอยตัด การตัดแต่งกิ่งดัดให้วนเวียนรอบ ๆ ต้นขึ้นไป การทำกิ่งและช่อพุ่มกำหนดให้ทำ 3 กิ่ง ๆ ละ 3 ช่อ รวมทั้งต้น 9 ช่อ และต้องจัดทำกิ่งและช่อให้สม่ำเสมอกัน ไม้ญี่ปุ่นรวมทั้ง กำมะลอ ตลกรากเอนชายมอ มากใช้ ท่วงทีที่ขันพอ พูมตลก คงกิ่งจังหวะได้ ช่องพร้อม เรือนเสมอ ไม้กำมะลอ ลักษณะทรงต้นตรงขึ้นไป จะมีกิ่งที่โคนหรือไม่มีก็ได้ แต่ส่วนยอดจะต้องดัดให้หันเหหมุนเวียนจากยอดวกวนชี้ลงล่างไม่ว่าจะเป็นลักษณะใดจึงจะสมชื่อกำมะลอ คือไม่ใช่ของจริง ฉะนั้นกิ่งยอดจะต้องทำให้หักเหชี้ลงข้างล่างแทนที่จะชี้ขึ้นฟ้าเหมือนทั่ว ๆ ไป และถ้ายิ่งยักเยื้องพิสดารได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี จะมีกิ่งและช่อมากน้อยเท่าไรก็ไม่กำหนด ขอให้ดูสวยงามเข้ารูปทรงเท่านั้นเป็นพอ ไม้ตลก เป็นไม้ดัดที่ตั้งใจดัดให้ผู้พบเห็นแปลกตาทำนองตลกขบขัน มี 2 ลักษณะคือ ไม้ตลกหัวและไม้ตลกรากไม้ตลกหัว จะมีส่วนบนสุดยอดของลำต้นเป็นก้อนกลุ่มยิ่งใหญ่โตเท่าไรยิ่งดี ลักษณะลำต้นจะเป็นกระปุ่มกระป่ำ มีกิ่งมีช่อน้อย ไม้ตลกราก จะมีรากลอยหรือรากบางส่วนโผล่พื้นดินขึ้นมาดูไม่เรียบร้อยไม้ดัดชนิดนี้ ถ้าจะให้สวยงามจริง ๆ ต้องมีทั้งตลกหัวและกลกรากอยู่ในต้นเดียวกันและทำช่อกิ่งเพียงเล็กน้อยจะดูสวยงาม ไม้ญี่ปุ่น ลักษณะเป็นไม้ดัดที่คล้ายกับไม้แคระทรงญี่ปุ่นและวิธีการดัดก็คล้าย ๆ กัน คือทำโคนต้นใหญ่ และบังคับให้แคระแกร็นปลายต้นเรียว ลำต้นจะตรงหรือเอนเล็กน้อยก็ได้ กิ่งและช่อพุ่มดัดแต่งให้กระจายตามรูปทรงไม้ใหญ่ในธรรมชาติ ไม้ดัดชนิดนี้จะปลูกติด 2 ต้นคู่ติดกัน โดยให้มีขนาดลดหลั่นกันลงมาหรือจะทำเฉพาะต้นเดี่ยว ก็ได้ ไม้เอนชาย หรือเอนชายมอ ลักษณะลำต้นตรงขึ้นมา แล้วเอนออกไปทางด้านข้างดูเหมือนกับต้นไม้ที่ขึ้นตามหน้าผา หรือตามตลิ่งโดยมีรากยึดเกาะด้านข้าง เก้าชนิดนับชื่ออ้าง ออกนาม ไม้เฮย โดยบุราณเรียกตาม ต่อถ้อย คิดดัดแต่งตัดงาม คงเงื่อน นั้นนา พอประจักษ์นามน้อย เนื่องไม้มีเดิม ไม้ดัดทั้ง 9 ชนิด ตามโคลงตำราไม้ดัดของหลวงมงคลรัตน์ ที่กล่าวเสนอมานั้น เป็นลักษณะต้นแบบของข่อยดัดของไทยเราโดยแท้ สมควรที่ผู้เล่นไม้ดัดควรยึดถือเป็นแบบอย่าง แต่สำหรับในทางปฏิบัติแล้วการดัดและตกแต่งกิ่งช่อพุ่มอาจดัดยักเยื้องต่างไปบ้างตามรูปทรงต้นตอ แต่ก็อย่าให้ถึงกับเสียรูปท

วิธีการคัดเลือกและเตรียมพันธ์ไม้ดัด

ต้นไม้ที่นำมาทำเป็นไม้ดัดเราจะเรียกว่า "ไม้หุ่น" ลักษณะการได้มาของไม้หุ่นจะมาจาก 2 แหล่ง คือ 1. ได้จากต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าตามธรรมชาติ ซึ่งอาจจะออกไปหาขุดเองหรือหาซื้อจากผู้ที่ขุดมาขาย 2. ปลูกเลี้ยงขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะหาไม้มาได้ในลักษณะใดก็ตาม การดัดตกแต่งจะยุ่งยากหรือจะต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ก็จะขึ้นอยู่กับรูปทรงของไม้หุ่นเป็นสำคัญโดยทั่ว ๆ ไปนักเลงไม้ดัดจำแนกรูปทรงไม้หุ่นไว้ 3 แบบ ด้วยกัน คือ 1. ไม้บรรจบป่า 2. ไม้บรรจบหุ่น 3. ไม้วิชา ไม้บรรจบป่า จะเป็นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ รูปทรงกิ่งก้านคดเคี้ยวไปมา เนื่องจากถูกสัตว์เหยียบย่ำหรือเป็นต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใต้พุ่มไม้ใหญ่ชนิดอื่น ๆ ทรงพุ่ม แลดูแคระแกร็นลักษณะทรงต้นดีเข้าที่เกือบใช้ได้แล้วอาจขาดเพียง 2-3 กิ่งเท่านั้นไม้ลักษณะนี้จึงเหมาะสมต่อการนำมาดัดให้ได้รูปทรง เพียงเพิ่มกิ่ง เพิ่มช่อใบ เว้นช่องไฟของช่อใบให้รับหุ่นหรือทรงต้น ก็จะทำให้เป็นไม้ดัดที่ดูงานได้ โดยใช้เวลาอีกไม่มากนัก การเลือกไม้ลักษณะนี้มาทำเป็นไม้ดัด อาจใช้เวลาเพียง 2-3 ปี ก็เสร็จสมบูรณ์ ไม้บรรจบหุ่น เป็นไม้ที่มีลักษณะรูปทรงหุ่นใกล้เคียงกับรูปแบบไม้ดัดที่จะทำ เพียงนำมาทำการดัดแต่งอีกเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เริ่มทำกิ่งช่อต่อไปได้ไม้บรรจบหุ่นนี้เหมาะสำหรับนำมาดัดแต่งทำเป็นไม้ดัด ลักษณะไม้ตลก ไม้ขบวน ไม้เอนชายและไม้ญี่ปุ่นเท่านั้น การเลือกไม้ลักษณะนี้มาทำเป็นไม้ดัด จะต้องใช้เวลานานอาจจะถึง 9 ปี จึงจะเสร็จสมบูรณ์ ไม้วิชา เป็นไม้ที่มีลักษณะทรงต้นเพียงท่อนเดียว จะนำมาทำเป็นรูปร่างอย่างไรไม่ได้เลย เป็นไม้หุ่นที่นำมาทำไม้ดัดยากที่สุด จะต้องนำมาเลี้ยงให้ต้นแตกกิ่งกระโดงใหม่แล้วจึงจะทำการปิดกระหม่อมหุ่น (การปิดกระหม่อม หมายถึง การที่ดัดกิ่งที่แตกใหม่มาทับรอยตัดของต้นต่อเดิม) เมื่อกิ่งกระโดงได้ขนาดและเชื่อมกับต้นตอได้ดีแล้ว ก็จะใช้กิ่งกระโดงนั้นเป็นหุ่นทำกิ่งช่อต่อไป ผู้ดัดจะต้องใช้ฝีมือ และมีความวิริยะอุตสาหะเป็นเลิศ จึงจะทำได้สำเร็จ การใช้ไม้ชนิดนี้มาทำไม้หุ่นต้องใช้เวลามากกว่าจะได้ไม้ดัดที่เสร็จสมบูรณ์อาจจะถึง 15-18 ปีก็ได้ ปีก็ได้ ไม้วิชานี้ถือว่าเป็นไม้ที่ใช้ทดสอบฝีมือผู้ดัดได้เป็นอย่างดี
การเตรียมพันธุ์ไม้ดัด
ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ที่จะเลี้ยงไม้ดัดจะต้องไปเสาะหาไม้หุ่นจากป่าธรรมชาติซึ่งมีอยู่มากมาย การขุดก็ต้องค่อย ๆ ขุดล้อมโคนต้นให้มีดินติดมา ตัดกิ่งและรากที่ยาวเกินไปออก ใช้กระสอบหรือวัตถุอื่นปิดคลุมส่วนดินและรากเอาไว้ ในขณะที่เคลื่อนย้าย จะต้องระมัดระวังอย่าให้กระเทือนมาก นำมาปลูกและใช้หลักปักยึดไว้ให้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นเอียงหรือล้มจะต้องปลูกทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง รอจนต้นไม้ฟื้นตัว และแตกกิ่งก้านใหม่จึงจะค่อยเริ่มลงมือดัดตกแต่งตามต้องการ ในปัจจุบันมีผู้ปลูกเลี้ยงไม้ดัดกันมากขึ้น จึงเกิดมีอาชีพขุดต้นตอขาย ผู้ที่อยู่ใกล้แหล่งธรรมชาติที่มีต้นตอขึ้นอยู่แล้วมากมาย จะเลือกขุดและนำมาพักเลี้ยงให้ฟื้นตัวดี เมื่อเริ่มแตกกิ่งก้านใหม่ จึงนำออกมาขายให้กับผู้ที่ต้องการปลูกเลี้ยงต่อไป ในอนาคต คงจะต้องใช้วิธีปลูกเลี้ยงพันธุ์ไม้ขึ้นมาเอง เพราะพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาตินับวันก็จะหายากและขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ลักษณะของไม้ดัดไม้แคระ

ลักษณะไม้ดัด เป็นศิลปะประจำชาติไทย เป็นศิลปะการเล่นพันธุ์ไม้ของคนไทยโบราณตั้งแต่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา การเล่นไม้ดัดแสดงให้เห็นถึงความ อุตสาหะพากเพียรพยายามทรงไว้ซึ่งฝีมือและแนวความคิดในงานศิลปะของคนไทย เพราะไม้ดัดจะมีรูปร่างลักษณะถูกต้องตามแบบฉบับการดัดจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานไม่น้อยกว่า ๕ หรือ ๑๐ ปี ไม้ดัดไทยที่มีลักษณะงดงามจึงมีอายุถึง ๒๐, ๕๐ ปี บางต้นมีอายุถึง ๑๐๐ ปีก็มี จึงทำให้ไม้ดัดมีค่าสูงเหมือนโบราณวัตถุที่มีค่าสูงชิ้นหนึ่ง ในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยและโปรดปรานเล่นไม้ดัด ดังปรากฏในพระบรมมหาราชวัง และพระราชวังดุสิต นอกจากนี้ยังมีเจ้านายอีกหลายพระองค์ ทรงเล่นไม้ดัด เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศ เป็นต้น ส่วนบรรดาพระสงฆ์ไทย ก็มีพระครูประสิทธิ์สมณการวัดจักรวรรดิ์ พระมหาผิว (ศุขะพิศิษฐ์) วัดเทพศิรินทร์ เป็นต้น ถึงแม้ว่าบรรดาท่านเหล่านั้นจะสิ้นชีพแล้วก็ตาม แต่แบบฉบับและผลงานของท่านยังคงอยู่ จนกระทั่งปัจจุบัน และยังเป็นการแสดงความเคารพกตัญญูบรรดาท่านเหล่านั้นที่ทำไห้ศิลปะไม้ดัดยังตกทอดถึงปัจจุบันนี้ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คุณหลวงมงคลรัตน์ (ช่วง ไกรฤกษ์) ได้เขียนโคลงตำราไม้ดัดไว้และพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพพระราชสัมภารากร (ชม ไกรฤกษ์) นับว่าเป็นตำราไม้ดัดเล่มแรกและกลายเป็นแม่แบบตำราไม้ดัดมาจนถึงปัจจุบัน